ตำรวจเตรียมแถลงข่าวปิดคดี หลานฆ่ายายยัดถัง ที่สุพรรณบุรี สารภาพใช้มือบีบคอยาย อ้างทนโดนบังคับไม่ไหว ห้ามคบเพื่อนไม่ว่าหญิงหรือชาย จากรณีคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ กรณีพบศพถูกฆ่ายัดถัง ทิ้งในพงหญ้าริมถนนสาย 340 สุพรรณบุรี-ชัยนาท บริเวณเชิงเขาชะโอย หมู่ 10 ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ต่อมาทราบชื่อคือ นางสมศรี หรือ ยายหวาน อายุ 62 ปี ถูกฆ่ายัดถังพลาสติก ต่อมาตำรวจสืบจากกล้องวงจรปิด และพยานหลักฐาน นำไปสู่การขอศาลจจังหวัดสุพรรณบุรี ออกหมายจับ หลานสาวของยายหวาน อายุ 18 ปี และเพื่อนชายคนสนิท อายุ 23 ปี ชื่อ นายปฏิพล สามารถควบคุมตัวได้ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก
เบื้องต้นทั้งสองโดน ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ร่วมกันซ่อนเร้น เคลื่อนย้าย ทำลายศพ หรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังสาเหตุการตาย
ที่น่าสลดใจคือ หลานสาวสารภาพว่า ลงมือทำร้ายยายหวานจริงด้วยการบีบคอ แต่ยายหวานไม่ตาย เลขใช้เชือกรัดคอซ้ำจนเสียชีวิต เมื่อยายหวานตายแล้ว ได้แชทให้แฟนหนุ่มเดินทางมาจากจังหวัดตากช่วยกันย้ายศพยายหวานยัดใส่ถัง นำไปทิ้งยังพงหญ้า จนชาวบ้านและตำรวจมาพบต่อมาภายหลัง
ส่วนแรงจูงใจการฆ่า หลานสาวอ้างว่า ยายชอบบังคับขู่เข็ญทุกเรื่องมานาน ห้ามไม่ให้คบเพื่อน แม้แต่เพื่อนผู้หญิงก็ห้าม คนในละแวกบ้านรู้กันหมด
โดยหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ได้ติดตามจับกุมตัว หลานสาวของผู้ตายพร้อมกับแฟนหนุ่ม ล่าสุด (16 ก.พ.65) หลานสาวได้รับสารภาพว่า ได้ใช้มือบีบคอยายหวานจนแน่นิ่ง แต่ไม่ตาย จึงได้ใช้เชือกรัดคอซ้ำอีกครั้ง จากนั้นได้แชตทางโทรศัพท์เรียกให้แฟนที่อยู่จังหวัดตากมาช่วยนำศพยายหวานไปทิ้ง โดยสาเหตุที่ทำเพราะทนการบังคับขู่เข็ญของยายหวานมานาน ทำให้เก็บกด เพราะยายมีพฤติกรรมบังคับขู่เข็ญทุกเรื่องมานาน ไปไหนก็ไปด้วยทั้งหมด ตั้งแต่เด็กแล้ว โดยยายจะห้ามไม่ให้คบกับเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ซึ่งคนในละแวกบ้านเช่าแห่งนี้ก็รู้กันทั้งหมด
ทั้งนี้ หลานของยายหวาน ไม่ใช่หลานโดยสายเลือด เป็นลูกที่เกิดจากลูกบุญธรรมที่ยายหวานเคยรับมาเลี้ยงเพราะไม่มีลูก ยายหวานรักหลาน ขนาดที่หลานไปเรียนที่โคราช ยายหวานก็ย้ายไปเช่าห้องอยู่เป็นเพื่อนหลาน และกลับบ้านด้วยกันทุกวันหยุด
นอกจากนี้ ยังได้มีการเผยแพร่ภาพจากกล้อวงจรปิดที่สถานีรถไฟ แห่งหนึ่ง จับภาพยายหวานก่อนเสียชีวิตได้ ซึ่งกำลังเดินทางกลับจากอ.แก่งคอยพร้อมหลาน ซึ่งชาวบ้านเล่าหวานจะเห็นยายหลานคู่นี้นั่งรถไฟกลับด้วยกันประจำ
อย่างไรก็ตาม ตำรวจระบุว่า ต้องรอผลการสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่ยังไม่ตัดทิ้งประเด็นที่แฟนหนุ่มอาจมีส่วนร่วมในการสังหารด้วย
ตำรวจเตรียมเสนอศาล ส่งตัว ‘เค ร้อยล้าน’ รักษา ทางจิตเวช
โฆษก บช.น. เปิดเผยว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมเสนอศาล เพื่อส่งตัว เค ร้อยล้าน ไป รักษา ทางจิตเวช รอผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่ พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. กรณีที่ นาย เค ร้อยล้าน หรือ คเณศพิศณุเทพ จักรภพมหาเดชา ชายที่เพิ่งก่อเหตุความวุ่นขว้างขวดแตกกลางห้างพารากอน และ ปล่อยงูบนถนนหน้าเซนทรัลเวิลด์เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมานั้น
พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า แจ้งความดำเนินคดีกับ นายคเณศพิศณุเทพ ฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญ สั่งปรับ 5,000 บาท และความผิดฐานส่งเสียงดังโดยไม่มีเหตุอันควร ทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน สั่งปรับ 1,000 บาท
ส่วนเหตุที่เกิดขึ้นในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี อยู่ระหว่างพิจารณาแจ้งข้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปล่อยงูเห่า หากพบว่าเป็นสัตว์คุ้มครอง หรือสัตว์อันตราย อาจเข้าข่ายความผิดฐานปล่อยสัตว์อันตราย ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ฯ ส่วนของศูนย์การค้า และผู้ที่อาจได้รับบาดเจ็บ ยังไม่มีการเข้าแจ้งความแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่ผู้ก่อเหตุมีการก่อความวุ่นวายหลายครั้ง และประวัติเข้ารับการรักษาทางจิตเวช พนักงานสอบสวน ในท้ายคำร้องของสำนวนคดี อาจเสนอต่อศาลให้ดำเนินการตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย และถ้าศาลเห็นว่า การปล่อยตัวผู้ที่มีจิตบกพร่อง อันตราย ฟั่นเฟือน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสังคม ศาลอาจสั่งให้ส่งตัวไปรักษาในสถานพยาบาลได้ แต่ต้องรอแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและแพทย์ที่ทำการรักษาลงความเห็นอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม จากการประสานไปยังญาติของผู้ก่อเหตุ ทราบว่า ขณะนี้ไม่สามารถติดต่อผู้ก่อเหตุได้ ซึ่งตำรวจจะดำเนินการติดตามตัวต่อไป ส่วนทางญาติจะเข้าข่ายปล่อยปละละเลย หรือต้องถูกดำเนินคดีหรือไม่ ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐานอีกครั้ง รวมถึงพูดคุยหาแนวทางเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ก่อเหตุกระทำลักษณะดังกล่าวอีก และยังไม่ได้รับรายงานว่าผู้ก่อเหตุมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองหรือไม่ ต้องตรวจสอบอีกครั้ง
โดย ทนายความ ระบุว่าการยื่นฟ้องในวันนี้ เป็นคดีละเมิด ที่มีจำเลยที่ 1 เป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัด และจำเลยที่ 2 คือสิบตำรวจตรีนรวิชญ์ โดยค่าเสียหายก็เป็นการประเมินโดยนักวิชาการและหน่วยงานที่มีความชำนาญในการประเมินความเสียหาย โดยพิจารณาจากศักยภาพของหมอกระต่าย ที่หากยังมีชีวิตอยู่จะมีรายได้จนถึงเกษียณอายุ ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ที่จะไปเลี้ยงดูอุปการะครอบครัว และยังรวมกับค่าทำศพ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ จึงตัดสินใจฟ้องเรียกเสียหายที่ 72 ล้านบาท
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป